อัลบั้มภาพ Dooasia
วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ปั่นจักรยานชมวัดพระธาตุหลวง เวียงจัน สปป.ลาว
เที่ยวแบบแบกเป้ สะพายกล้องเที่ยว ทริปนี้เราเช่าจักรยานในราคาวันละ 80 บาทเพื่อปั่นชมสถานที่ท่องเที่ยวในเวียงจันและที่พลาดไม่ได้เลยคือการได้สักการะพระธาตุหลวงสักครั้ง การเข้าชมนั้นจะเสียค่าเข้าคนละ 3000 กีบ หรือประมาณ 15 บาท เปิดให้เข้าชม 8.00-17.00 น. (พักเที่ยงถึงบ่ายโมงครับ)
พระธาตุหลวงหรือ พระเจดีย์โลกะจุฬามณี นับเป็นปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งแห่งนครหลวงเวียงจันทน์ และเป็นศูนย์รวมใจของประชาชนชาวลาวทั่วประเทศ ตามตำนานกล่าวว่าพระธาตุหลวงมีประวัติการก่อสร้างนับพันปีเช่นเดียวกันพระธาตุพนมในประเทศไทย และปรากฏความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงอย่างแยกไม่ออก สถานที่นี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างของประเทศลาว ดังปรากฏว่าตราแผ่นดินของลาวที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีรูปพระธาตุหลวงเป็นภาพประธานในดวงตรา
พระธาตุหลวง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประตูชัย พระธาตุหลวงแห่งนี้ถือเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของประเทศลาว เป็นสัญญาลักษณ์ประจำชาติและยังแทนความเป็นเอกราชและอำนาจอธิปไตยของประเทศลาวอีกด้วย พระธาตุนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 พระธาตุองค์นี้มีรูปทรงที่ไม่เหมือนกับองค์อื่นๆ เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมในพระพุทธศาสนากับสถาปัตยกรรมของอาณาจักร
ตามตำนานเล่าว่า พระธาตุองค์นี้ได้สร้างในสมัยพุทธศักราชที่ 236 โดยมีพระภิกษุลาวจำนวน 5 รูปเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย และได้อันเชิญพระอุรังคธาตุ (พระธาตุหัวอกพระพุทธเจ้า) ของพระพุทธเจ้ามายังนครเวียงจันทน์ด้วย ต่อมาด้ำกราบทูลพระยาจันทบุรีประสิทธิ์ศักดิ์ เจ้านครเวียงจันทน์ในสมัยนั้น ให้สร้างพระธาตุหลวงขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุเพื่อให้ชาวลาวได้กราบไหว้ กล่าวไว้ว่า พระธาตุองค์เดิมนั้นสร้างด้วยหินเป็นทรงโอคว่ำ มีการก่อกำแพงล้อมรอบเอาไว้ทั้ง 4 ด้าน แต่ละด้านมีความกว้าง 10 เมตร หนา 4 เมตร และสูง 9 เมตร เชื่อกันว่าพระธาตุที่เห็นในปัจจุบันสร้างครอบองค์เดิม ซึ่งต่อมาสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองหลวงของราชอาณาจักรล้านช้างจากหลวงพระบางมาอยู่ที่เวียงจันทน์ ตามดำริของพระราชบิดา คือพระเจ้าโพธิสาร จากนั้นทรงมีพระบัญชา ให้ทรงสร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ครอบพระธาตุองค์เดิมไว้ ณ บริเวณที่เคยเป็นเทวสถานเก่าของขอมโดยเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ.2109 และหลังจากสร้างพระธาตุหลวงได้โปรดฯ ให้สร้างวัดขึ้นล้อมรอบพระธาตุไว้ทั้งสี่ทิศด้วย แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงสองแห่งด้วยกันคือ วัดพระธาตุหลวงเหนือและวัดพระธาตุหลวงใต้
ในปัจจุบัน พระธาตุหลวงมีลักษณะคล้ายป้อมปราการ เพราะมีการสร้างระเบียงสูงใหญ่ขึ้นโอบล้อมรอบองค์พระธาตุไว้ พร้อมกับทำช่องหน้าต่างเล็กๆเอาไว้โดยตลอด สำหรับประตูทางเข้านั้นเป็นประตูไม้บานใหญ่ ลงรักสีแดงไว้ทั้งหมด นอกจากนี้รอบๆองค์พระธาตุใหญ่ยังมีเจดีย์บริวารล้อมรอบอยู่โดยรอบอีกหลายองค์ เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็จะเห็นสัญลักษณ์หนึ่งแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนาแห่งนี้ปรากฏอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นรูปแกะสลักพญานาค พระพุทธรูปปิดทองลายกลีบบัวประดับอยู่บนฐานปักษ์ และถัดจากประตูทางเข้าใหญ่ประมาณ 100 เมตรจะแลเห็นพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ตั้งอยู่บนฐานสูง พระหัตถ์ทรงถือพระแสงดาบวางพาดไว้บนพระเพลา เล่ากันว่า พระแสงดาบเล่มนี้ทำหน้าที่ปกป้องพระธาตุหลวงซึ่งได้ถือว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวลาวทุกคน
นอกจากนี้บริเวณทางเข้าพระธาตุหลวงนั้นมีร้านขายของที่ระลึกมากมายหลายร้าน ต่อรองราคากันอย่างสนุก ทั้งของใช้ ของกิน ขนมขบเคี้ยว ของกินเล่น นักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะแวะก่อนกลับเสมอ
สถานที่ท่องเที่ยว แขวงเวียงจันทน์ - แขวงเวียงจัน
- พระธาตุหลวง
- วัดสีเมือง เสาหลักเมืองเวียงจัน
- วัดสีสะเกด
- หอพระแก้ว หรือวัดพระแก้วลาว
- อนุสาวรีย์เจ้าฟ้างุม
- ประตูชัย
- พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลาว
- หอวัฒนธรรมแห่งชาติลาว
- ถนนคนเดินเวียงจัน
- ตลาดเช้า
- ดิวตี้ฟรี (Duty free) สินค้าปลอดภาษี บริเวณด่านลาวไทย
- บ้านผาฮอม
- ถ้ำจัง
- เมืองวังเวียง
- ผาตั้ง อ่านต่อ...
ป้ายกำกับ:
เที่ยวต่างประเทศ,
เที่ยวลาว,
โบราณสถาน,
ประเทศลาว,
ประเพณี
ร้านเฝอแซบ นครหลวงเวียงจัน
ทริปนี้พาชิมร้านเฝอแซบ นครหลวงเวียงจัน สปป.ลาว ถนนสายลม แถวๆโรงแรมจะเลินไซ (เจริญชัย) ในเวียงจันมีสองสาขาครับ ที่นำมาลงนี่สาขาแรกครับ หน้าตาของเฝอลาวก็คล้ายๆ กับก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา มีผักสดมาให้เต็มๆ จาน และมีถั่วลิสงบดหวานๆ กับกะปิ ไว้จิ้มกับผักสด และที่น่าสังเกตคือการกินอาหารของคนลาวที่นี่จะมี “ซอสพริก” ไว้ที่โต๊ะเสมอ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารตามสั่งทั่วไป หรือร้านเฝอแซ่บ1 นี้ก็เช่นกัน ราคาของเฝอก็ถ้วยน้อยอยู่ที่ 13000 กีบ ถ้วยกลางราคา 15000 กีบ ส่วนถ้วยจัมโบ้ราคา 18000 กีบ ขอแนะนำว่าถ้าไม่หิวจริงควรสั่งถ้วยน้อยครับ เพราะว่าถ้วยน้อยบ้านเค้ายังใหญ่กว่าก๋วยเตี๋ยวพิเศษบ้านเราเสียอีกครับ
อัตราแลกเปลี่ยนเงินลาวอยู่ที่ 1:260 คือเงินไทย 1 บาท แลกเงินกีบได้ 260 กีบ ขอแนะนำว่าเราควรแลกเงินกีบใช้เมื่อเดินทางไปเที่ยวลาว เพื่อส่งเสริม และเป็นการเคารพในวัฒนธรรม เพราะเวลานี้รัฐบาลลาวกำลังรณรงค์ และส่งเสริมให้คนลาวหันมาใช้เงินกีบแทนเงินบาท และสกุลเงินดอลลาร์ จะเห็นมีป้ายเชิญชวนตามถนนในนครหลวงเวียงจันทน์อยู่เป็นระยะ
สถานที่ท่องเที่ยว แขวงเวียงจันทน์
- แขวงเวียงจัน
- พระธาตุหลวง
- วัดสีเมือง เสาหลักเมืองเวียงจัน
- วัดสีสะเกด
- หอพระแก้ว หรือวัดพระแก้วลาว
- อนุสาวรีย์เจ้าฟ้างุม
- ประตูชัย
- พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลาว
- หอวัฒนธรรมแห่งชาติลาว
- ถนนคนเดินเวียงจัน
- ตลาดเช้า
- ดิวตี้ฟรี (Duty free) สินค้าปลอดภาษี บริเวณด่านลาวไทย
- บ้านผาฮอม
- ถ้ำจัง
- เมืองวังเวียง
- ผาตั้ง อ่านต่อ...
ป้ายกำกับ:
กินของอร่อย,
เที่ยวต่างประเทศ,
ประเทศลาว,
อาหารลาว
ชมอนุสาวรีย์ พระเจ้าอนุวงศ์
ชมอนุสาวรีย์ พระเจ้าอนุวงศ์ (เจ้ามหาชีวิตองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์) เดินทางมาถึงเมืองเวียงจันทร์แล้ว ตอนเย็นๆ แนะนำให้มาผักผ่อนหย่อนใจกันที่สวนสาธารณะ ริมแม่น้ำโขง มีสนามหญ้าเขียวๆ ชาวลาวจำนวนไม่น้อยต่างพากันมาเดินเล่น มาวิ่งออกกำลังกาย รวมทั่งเครื่องออกกำลังกายหลายชนิดที่วางเรียงรายให้ได้เล่นกันมากมาย นอกจากนั้นแล้วยังมีของอร่อยๆ ที่แม่ค้าลาวเข็นของมาขายกันเพียบ
สิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อมาถึงริมแม่น้ำโขงนี้แล้วนอกจากที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น เพื่อนๆ จะได้เห็นอนุสาวรีย์พระเจ้าอนุวงศ์ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมน้ำโขง นักท่องเที่ยวมากมายมากราบไว้ถ่ายรูปเพื่อเป็นศิริมงคล
อนุสาวรีย์ พระเจ้าอนุวงศ์ มีความสูง 17 เมตร (รวมฐานและแท่นยืนด้วย) ซึ่งถือว่าเป็นอนุสาวรีย์ของอดีตเจ้ามหาชีวิตลาวที่สูงที่สุดและใช้ทองแดงเฉพาะการหล่อรูปปั้นของเจ้าอนุวงศ์คิดเป็นน้ำหนักรวมถึง 8 ตัน เพื่อให้ประดิษฐานที่สวนสาธารณะริมฝั่งโขงที่อยู่ตรงข้ามกับฝั่งอำเภอศรีเชียงใหม่ในเขตจังหวัดหนองคายของไทยพอดี
ทางการลาวภายใต้การนำพาของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวนั้นได้ให้ความสำคัญกับเจ้ามหาชีวิตพระองค์นี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า เจ้าฟ้างุ้ม เจ้ามหาชีวิตผู้สถาปนาอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางขึ้นในปี พ.ศ. 1900 และ เจ้าไชยเชษฐาธิราช เจ้ามหาชีวิตผู้สถาปนาเวียงจันทน์เป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างแทนหลวงพระบางในปี พ.ศ. 2103 แต่อย่างใดเลย
ทั้งนี้โดยถึงแม้ว่าพรรคประชาชนปฏิวัติลาว จะได้ล้มล้างสถาบันกษัตริย์และระบบศักดินาในลาวนับตั้งแต่ปี 1975 เป็นต้นมาแล้วก็ตามแต่ก็หาได้เป็นปัญหาอย่างใดไม่ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าวีรกรรมของเจ้าอนุวงศ์ ที่พรรคฯลาวได้เชิดชูขึ้นมาเป็นธงนำในการก่อสร้างอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ในครั้งนี้ ก็คือการเป็นเจ้ามหาชีวิตที่ได้กระทำในทุกวิถีทางเพื่อประกาศอิสรภาพและความเป็นเอกราชของชาติลาว ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับการต่อสู้และการนำพาของพรรคฯลาวนั่นเอง
กล่าวสำหรับอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ภายหลังจากที่ได้ประกาศเอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2146 ในรัชสมัยของพระวรวงศาธรรมิกราช ซึ่งก็ทำให้อาณาจักรล้านช้างไม่มีศึกสงครามและการรุกรานจากภายนอกนับเป็นเวลากว่า 100 ปีจนกระทั่งตกมาถึงปี พ.ศ.2250 และปี พ.ศ.2256 อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางและจำปาสักก็ได้ประกาศแยกตัวออกจากราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ตามลำดับ โดยมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้องในราชวงศ์
ซึ่งด้วยความแตกแยกภายในดังกล่าวก็ได้ทำให้อาณาจักรล้านช้างทั้งสาม ต้องตกไปเป็นประเทศราชของสยามอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ.2322 อันเป็นที่มาของการกวาดต้อนคนลาวครั้งใหญ่ เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยพระเจ้านันทเสน (พ.ศ.2324-2337) นั้น นับเป็นช่วงที่คนลาวถูกสยามกวาดต้อนไปเป็นแรงงานขุดคลองในบางกอกมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาณาจักรล้านช้างจะตกเป็นประเทศราชของสยาม แต่ว่าในส่วนของนครเวียง จันทน์นั้นก็ได้รับการทำนุบำรุงในทุกๆด้านอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือ เจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. 2346-2370) นั้น พระองค์ได้ทรงพยายามทำนุบำรุงนครเวียงจันทน์อย่างต่อเนื่อง เช่น โปรดให้สร้างพระราชวังหอโรง วัดศรีบุญเรืองที่หนองคาย หอพระแก้ววัดช้างเผือกที่ศรีเชียงใหม่ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากวัดช้างเผือกมาที่นครเวียงจันทน์ และ วัดสตหัสสาราม (วัดแสนหรือวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังสันนิษฐานกันว่ามีวรรณกรรมสองเรื่องที่เกิดขึ้นในรัชสมัยเจ้าอนุวงศ์ก็คือสาส์นลึบบ่สูญ และวรรณกรรมร้อยแก้วเรื่องพระลักษณ์-พระราม
ครั้นเมื่อตกมาถึงปี พ.ศ.2370 พระเจ้าอนุวงศ์ ก็ทรงได้ประกาศกู้เอกราชจากสยาม ซึ่งก็ทำให้พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงเห็นว่าเจ้าอนุวงศ์นั้นเป็นกบฎ จึงให้ยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ และก็ให้ควบคุมตัว เจ้าอนุวงศ์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์มาที่กรุงสยามในปี พ.ศ.2371 โดยเจ้าอนุวงศ์นั้นก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกันอันถือเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์อีกด้วย
สถานที่ท่องเที่ยว แขวงเวียงจันทน์ - แขวงเวียงจัน
- พระธาตุหลวง
- วัดสีเมือง เสาหลักเมืองเวียงจัน
- วัดสีสะเกด
- หอพระแก้ว หรือวัดพระแก้วลาว
- อนุสาวรีย์เจ้าฟ้างุม
- ประตูชัย
- พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลาว
- หอวัฒนธรรมแห่งชาติลาว
- ถนนคนเดินเวียงจัน
- ตลาดเช้า
- ดิวตี้ฟรี (Duty free) สินค้าปลอดภาษี บริเวณด่านลาวไทย
- บ้านผาฮอม
- ถ้ำจัง
- เมืองวังเวียง
- ผาตั้ง
สิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อมาถึงริมแม่น้ำโขงนี้แล้วนอกจากที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น เพื่อนๆ จะได้เห็นอนุสาวรีย์พระเจ้าอนุวงศ์ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมน้ำโขง นักท่องเที่ยวมากมายมากราบไว้ถ่ายรูปเพื่อเป็นศิริมงคล
อนุสาวรีย์ พระเจ้าอนุวงศ์ มีความสูง 17 เมตร (รวมฐานและแท่นยืนด้วย) ซึ่งถือว่าเป็นอนุสาวรีย์ของอดีตเจ้ามหาชีวิตลาวที่สูงที่สุดและใช้ทองแดงเฉพาะการหล่อรูปปั้นของเจ้าอนุวงศ์คิดเป็นน้ำหนักรวมถึง 8 ตัน เพื่อให้ประดิษฐานที่สวนสาธารณะริมฝั่งโขงที่อยู่ตรงข้ามกับฝั่งอำเภอศรีเชียงใหม่ในเขตจังหวัดหนองคายของไทยพอดี
ทางการลาวภายใต้การนำพาของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวนั้นได้ให้ความสำคัญกับเจ้ามหาชีวิตพระองค์นี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า เจ้าฟ้างุ้ม เจ้ามหาชีวิตผู้สถาปนาอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางขึ้นในปี พ.ศ. 1900 และ เจ้าไชยเชษฐาธิราช เจ้ามหาชีวิตผู้สถาปนาเวียงจันทน์เป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างแทนหลวงพระบางในปี พ.ศ. 2103 แต่อย่างใดเลย
ทั้งนี้โดยถึงแม้ว่าพรรคประชาชนปฏิวัติลาว จะได้ล้มล้างสถาบันกษัตริย์และระบบศักดินาในลาวนับตั้งแต่ปี 1975 เป็นต้นมาแล้วก็ตามแต่ก็หาได้เป็นปัญหาอย่างใดไม่ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าวีรกรรมของเจ้าอนุวงศ์ ที่พรรคฯลาวได้เชิดชูขึ้นมาเป็นธงนำในการก่อสร้างอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ในครั้งนี้ ก็คือการเป็นเจ้ามหาชีวิตที่ได้กระทำในทุกวิถีทางเพื่อประกาศอิสรภาพและความเป็นเอกราชของชาติลาว ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับการต่อสู้และการนำพาของพรรคฯลาวนั่นเอง
กล่าวสำหรับอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ภายหลังจากที่ได้ประกาศเอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2146 ในรัชสมัยของพระวรวงศาธรรมิกราช ซึ่งก็ทำให้อาณาจักรล้านช้างไม่มีศึกสงครามและการรุกรานจากภายนอกนับเป็นเวลากว่า 100 ปีจนกระทั่งตกมาถึงปี พ.ศ.2250 และปี พ.ศ.2256 อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางและจำปาสักก็ได้ประกาศแยกตัวออกจากราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ตามลำดับ โดยมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้องในราชวงศ์
ซึ่งด้วยความแตกแยกภายในดังกล่าวก็ได้ทำให้อาณาจักรล้านช้างทั้งสาม ต้องตกไปเป็นประเทศราชของสยามอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ.2322 อันเป็นที่มาของการกวาดต้อนคนลาวครั้งใหญ่ เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยพระเจ้านันทเสน (พ.ศ.2324-2337) นั้น นับเป็นช่วงที่คนลาวถูกสยามกวาดต้อนไปเป็นแรงงานขุดคลองในบางกอกมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาณาจักรล้านช้างจะตกเป็นประเทศราชของสยาม แต่ว่าในส่วนของนครเวียง จันทน์นั้นก็ได้รับการทำนุบำรุงในทุกๆด้านอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือ เจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. 2346-2370) นั้น พระองค์ได้ทรงพยายามทำนุบำรุงนครเวียงจันทน์อย่างต่อเนื่อง เช่น โปรดให้สร้างพระราชวังหอโรง วัดศรีบุญเรืองที่หนองคาย หอพระแก้ววัดช้างเผือกที่ศรีเชียงใหม่ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากวัดช้างเผือกมาที่นครเวียงจันทน์ และ วัดสตหัสสาราม (วัดแสนหรือวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังสันนิษฐานกันว่ามีวรรณกรรมสองเรื่องที่เกิดขึ้นในรัชสมัยเจ้าอนุวงศ์ก็คือสาส์นลึบบ่สูญ และวรรณกรรมร้อยแก้วเรื่องพระลักษณ์-พระราม
ครั้นเมื่อตกมาถึงปี พ.ศ.2370 พระเจ้าอนุวงศ์ ก็ทรงได้ประกาศกู้เอกราชจากสยาม ซึ่งก็ทำให้พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงเห็นว่าเจ้าอนุวงศ์นั้นเป็นกบฎ จึงให้ยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ และก็ให้ควบคุมตัว เจ้าอนุวงศ์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์มาที่กรุงสยามในปี พ.ศ.2371 โดยเจ้าอนุวงศ์นั้นก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกันอันถือเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์อีกด้วย
สถานที่ท่องเที่ยว แขวงเวียงจันทน์ - แขวงเวียงจัน
- พระธาตุหลวง
- วัดสีเมือง เสาหลักเมืองเวียงจัน
- วัดสีสะเกด
- หอพระแก้ว หรือวัดพระแก้วลาว
- อนุสาวรีย์เจ้าฟ้างุม
- ประตูชัย
- พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลาว
- หอวัฒนธรรมแห่งชาติลาว
- ถนนคนเดินเวียงจัน
- ตลาดเช้า
- ดิวตี้ฟรี (Duty free) สินค้าปลอดภาษี บริเวณด่านลาวไทย
- บ้านผาฮอม
- ถ้ำจัง
- เมืองวังเวียง
- ผาตั้ง
อ่านต่อ...
แบกเป้ เที่ยวประตูชัย ประเทศลาว
ประตูชัย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเวียงจันทน์บนถนนล้านช้างไปสิ้นสุดที่บริเวณประตูชัย สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2512 เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ ประตูชัยแห่งนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “รันเวย์แนวตั้ง” เพราะการก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้ ใช้ปูนจากอเมริกาซื้อเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ในนครเวียงจันทน์ระหว่างสงครามอินโดจีน แต่สร้างไม่ทันเสร็จอเมริกาก็แพ้สงครามในอินโดจีนเสียก่อน ชาวลาวจึงนำปูนซีเมนต์มาสร้างประตูชัยแทน ลักษณะสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลของประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยสร้างถนนและประตูชัยให้คล้ายกับชอง เอลิเซ่ในฝรั่งเศส ลักษณะสถาปัตยกรรมก็ยังมีเอกลักษณ์ของลาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปศิลปะลาว ภาพเรื่องราวมหากาพย์รามายณะ แบบปูนปั้นใต้ซุ้มประตูโค้งของประตูชัย บันไดวันให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์ของนครเวียงจันทน์ ขณะที่ยังสร้างประตูชัยได้ไม่เสร็จดี ชาวลาวก็ประกาศอิสรภาพเสียก่อน ดังนั้น คำว่าชัยชนะของประตูนี้จึงหมายถึงชัยชนะของชาวลาว บริเวณรอบ ๆ ประตูชัยเป็นลานกว้างมีประชาชนชาวลาวมานั่งเล่นโดยรอบ นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวเมืองเวียงจันด้านบนของประตูชัยได้ โดยจะต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับทางเจ้าหน้าที่ ตลอดบันไดวนของประตูชัยจะแบ่งออกเป็นชั้นๆ ซึ่งแต่ละชั้นจะมีร้านจำหน่ายของที่ระลึก เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นชมวิวทิวทัศน์ทุกวันในยามเย็นสถานที่นี้จะเป็นที่ออกกำลังกาย เป็นสถานที่พักผ่อนของชาวเมืองเวียงจัน และนักท่องเที่ยว
สถานที่ตั้ง อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเวียงจันทร์
ค่าเข้าชม ผ่านประตูคนละ 3,000 กีบ
เวลาเปิดเข้าชม ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. (พักเที่ยง 1 ชั่วโมง)
การเดินทาง หากเที่ยวแบกเป้นั่งเหมารถมาเป็นกลุ่มจากด่านไทยลาว ใช้เงินประมาณ 300 บาท (อาจต่อรองได้แล้วแต่วิทยายุทธ์) ขอแนะนำห้องพักสบายๆ ราคาถูกที่โรงแรมสายลมเย็น ถนนสายลมเย็น เจ้าของบริการดีมากครับ ห้องพัดลม 290 ห้องแอร์ 350
สถานที่ท่องเที่ยว แขวงเวียงจันทน์
- แขวงเวียงจัน
- พระธาตุหลวง
- วัดสีเมือง เสาหลักเมืองเวียงจัน
- วัดสีสะเกด
- หอพระแก้ว หรือวัดพระแก้วลาว
- อนุสาวรีย์เจ้าฟ้างุม
- ประตูชัย
- พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลาว
- หอวัฒนธรรมแห่งชาติลาว
- ถนนคนเดินเวียงจัน
- ตลาดเช้า
- ดิวตี้ฟรี (Duty free) สินค้าปลอดภาษี บริเวณด่านลาวไทย
- บ้านผาฮอม
- ถ้ำจัง
- เมืองวังเวียง
- ผาตั้ง
สถานที่ตั้ง อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเวียงจันทร์
ค่าเข้าชม ผ่านประตูคนละ 3,000 กีบ
เวลาเปิดเข้าชม ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. (พักเที่ยง 1 ชั่วโมง)
การเดินทาง หากเที่ยวแบกเป้นั่งเหมารถมาเป็นกลุ่มจากด่านไทยลาว ใช้เงินประมาณ 300 บาท (อาจต่อรองได้แล้วแต่วิทยายุทธ์) ขอแนะนำห้องพักสบายๆ ราคาถูกที่โรงแรมสายลมเย็น ถนนสายลมเย็น เจ้าของบริการดีมากครับ ห้องพัดลม 290 ห้องแอร์ 350
สถานที่ท่องเที่ยว แขวงเวียงจันทน์
- แขวงเวียงจัน
- พระธาตุหลวง
- วัดสีเมือง เสาหลักเมืองเวียงจัน
- วัดสีสะเกด
- หอพระแก้ว หรือวัดพระแก้วลาว
- อนุสาวรีย์เจ้าฟ้างุม
- ประตูชัย
- พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลาว
- หอวัฒนธรรมแห่งชาติลาว
- ถนนคนเดินเวียงจัน
- ตลาดเช้า
- ดิวตี้ฟรี (Duty free) สินค้าปลอดภาษี บริเวณด่านลาวไทย
- บ้านผาฮอม
- ถ้ำจัง
- เมืองวังเวียง
- ผาตั้ง
อ่านต่อ...
สูดกลิ่นดินโคลน นั่งเรืออีแปะชมสวน เลียบคลองมหาสวัสดิ์
นาน ๆ จะได้สูดบรรยากาศกลิ่นโคนสาปควาย บรรยากาศแบบลูกทุ่งๆ เสียที ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เท่าไรครับ ใช้เวลาในการเดินทางแค่ 1 ชั่วโมงเศษๆ ผมก็มาถึงวัดสุวรรณาราม ขับรถเข้าไปในวัดเลยครับ เพราะเราต้องขึ้นเรือที่ท่าน้ำหน้าวัด เป็นโครงการที่ชาวบ้านและ อบจ.นครปฐมร่วมกันจัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบเที่ยวชมวิถี ชีวิตชาวบ้านครับ
เมื่อเคลียร์ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเรียบร้อย (ผม+คู่หูผม 490 บาท) ก็ลงเรือเครื่อง หรือชาวบ้านแถบนั้นเรียกว่า เรืออีแปะ มีหลังคาให้ครับ แต่ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงเช้า แดดยังไม่จัดมาก จึงเอาหลังคาลง เพื่อให้มองเห็นบรรยากาศได้โดยรอบ มีพี่เหลิมรับหน้าที่เป็นพลขับให้เราในครั้งนี้ครับ เรือค่อย ๆ แล่น เพื่อให้พวกผมได้ชมบรรยากาศสองฟากฝั่งคลอง ผู้คนริมฝั่งคลองก็ทำกิจกรรมกันไป บ้างก็อาบน้ำ ซักผ้า ตกปลา เด็กๆ ก็พากันเล่นน้ำริมตลิ่ง แต่ขอคอนเฟิร์มครับว่าคลองที่นี่น้ำใสมาก ใสจนมองเห็นปลาหางแดงแหวกว่ายตามเรือมาเลยล่ะครับ
นั่งมาได้สัก 10 นาที ก็ถึงจุดแรกครับ เป็นนาบัว (Lotus Farm) เป็นนาบัวของพี่อุษา มาเมืองบน ที่เข้าร่วมโครงการฯ ขนาด 20 ไร่ เป็นพันธุ์บัวแดงสายรุ้ง หรือ บัวฉัตรบงกช ดอกขนาดใหญ่มีสีแดง พี่เหลิมบอกว่าเป็นพันธ์ที่สามารถขายในบ้านเราและส่งออกนอกได้ ชาวบ้านที่นี่จึงนิยมปลูก ราคาขายดอกละ 2 บาท มีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อถึงบ้านเลยครับ และนักท่องเที่ยวยังสามารถพายเรือเก็บดอกบัวได้ด้วยนะครับ (ขายให้นักท่องเที่ยวดอกละ 2 บาท เช่นกันครับ) แต่ถ้าพายไม่ค่อยคล่อง ก็จะมีพลขับเรือแต่ละลำเป็นคนพายให้ครับ วันนั้นผมก็ได้พี่เหลิมนี่แหละครับช่วยชีวิต (แนะนำให้มาช่วงเช้าๆ ครับ เพราะอากาศจะได้ไม่ร้อน) พายไปก็ให้อาหารปลาตะเพียนไปครับ ได้ทั้งดอกบัวไปทำบุญ และทำทานด้วยการให้อาหารปลาอีกด้วย
ถัดไป เป็นสินค้า OTOP ของแม่บ้านในชุมชนคลองมหาสวัสดิ์ ทั้งกล้วยตาก, มะม่วงสามรส, กะปิ และไข่เค็มไอโอดีน แต่ที่ขึ้นชื่อของกลุ่มแม่บ้านก็คือ ข้าวตังหน้าตั้ง ซึ่งทำมาจากข้าวกล้องหอมมะลิคัดอย่างดี เพื่อสุขภาพ ขอบอกว่ามีให้ชิมฟรีไม่คิดตังค์ครับ อย่างข้าวตังหน้าตั้ง เราสามารถทำกินเองได้ด้วยนะครับ แต่ถ้าชิมแล้วเกิดติดใจ จะซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน อันนี้ก็ไม่ว่ากันครับ
อิ่มท้องแล้วเราก็ไปนั่งรถอีแต๋น เพื่อช่วยย่อยกันหน่อยครับ (จุดที่สาม) ที่สวนผลไม้ของคุณลุงบุญเลิศ เศรษฐอำนวย ร่มรื่นด้วยต้นไม้ผลชนิดและพันธุ์ต่างๆ ทั้ง มะกอกน้ำ, ส้มโอ, กระท้อน, กล้วย, ขนุน, หมาก และมะม่วง สวนทั้งหมด 40 ไร่ ที่นา 20 ไร่ และสวนผลไม้อีก 20 ไร่ คุณลุงบุญเลิศเป็นพลขับรถอีแต๋นให้เลยนะครับ เวลาเลี้ยงนี่ขอบอกครับว่าหวาดเสียวสุดๆ ถ้าไม่ชำนาญทางอย่างคุณลุงที่วันๆ ขับมาแล้วไม่ต่ำกว่า 20 กว่ารอบ เป็นเวลา 11 ปี ขอบอกครับว่าโอกาสพลาดตกท้องร่องข้างสวนมีสูงมาก ท้องไส้ปั่นป่วนกับรถอีแต๋นแล้วคุณลุงก็ใจดีครับ จัดเตรียมผลไม้ให้ชิมกันด้วย ทั้งส้มโอ, มะม่วง, ขนุน ฯลฯ ทุกอย่างสดๆ จากต้น หวานและอร่อยมากๆ ครับ นอกจากผลไม้สดแล้ว ยังมีแบบแปรรูปให้เลือกช๊อปให้กระเป๋าฉีกกันเลย
ตื่นเต้นและหวาดเสียวกับรถอีแต๋นกันแล้ว พี่เหลิมก็พาผมมาดูของสวย ๆ งาม ๆ บ้าง (จุดสุดท้าย) เป็นสวนกล้วยไม้คุณลุงชุบ คชเวช ส่วน ใหญ่ที่ปลูกเป็นพันธุ์หวาย ทั้งสีม่วง, ชมพู และขาว คุณลุงบอกว่าเป็นพันธุ์ที่ตลาดต้องการ ช่อที่ใหญ่และสมบูรณ์เต็มช่อจะส่งออกนอกได้ช่อละ 2-4 บาท แต่ช่อไหนที่ไม่สมบูรณ์จะขายในบ้านเรา กก.ละ 30 บาท แต่ใครที่อยากได้ไปลองเลี้ยงที่บ้าน คุณลุงชุบก็เพาะกล้วยไม้พันธุ์อื่น ๆ ไว้ให้เลือกเป็นเจ้าของในราคากระถางละ 120-200 บาทขอบอกว่าเต็มอิ่มจริงๆ ครับ ทั้งบรรยากาศ และความรู้ที่ผมได้รับจากคุณลุง, คุณพี่ผู้บอกเล่าประสบการณ์ ด้วยเงินแค่ 245 บาท แต่ที่คุ้มไปกว่านั้น คือ รอยยิ้ม และสีหน้ามีความสุขของคุณลุง, คุณพี่ เวลาตอบคำถาม ซึ่งยากนักที่จะเห็นได้จากสังคมของเราในทุกวันนี้ อย่างที่เค้าบอกครับว่า “อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าบ้านเรา”
รายละเอียดเพิ่มเติม :
โครงการ “ล่องเรือชมสวนเลียบคลองมหาสวัสดิ์”หมู่ที่ 1 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐมเปิดทุกวัน เวลา 08.00-16.00 น.โทร. 034-297-152, 081-495-9091 (คุณมนูญ นราสดใส ผู้ใหญ่บ้าน)
ค่าใช้จ่าย :
- ค่าเรือลำละ = 300 บาท นั่งได้ 6 คน
- ค่าเข้าชม 4 สถานที่ ผู้ใหญ่ = 70 บาท/ คน, เด็ก = 40 บาท/ คน
- ค่านั่งรถอีแต๋นชมสวนผลไม้ = 50 บาท/ รอบ
- ค่าเข้าชม 4 สถานที่ ผู้ใหญ่ = 70 บาท/ คน, เด็ก = 40 บาท/ คน
- ค่านั่งรถอีแต๋นชมสวนผลไม้ = 50 บาท/ รอบ
ที่มา: คนเดินทาง.com
website: http://www.konderntang.com/
อ่านต่อ...
website: http://www.konderntang.com/
ป้ายกำกับ:
ข้อมูลภาคกลาง,
ชมธรรมชาติ,
ตลาดคลองสวน,
ภาคกลาง,
เล่นน้ำ
พิพิธภัณฑ์ชีวิต "หุ่นขี้ผึ้งไทย" จังหวัดนครปฐม
คุณเคยดูละครเรื่อง “ห้องหุ่น” บ้างไหมคะ ละครที่นำเสนอเรื่องราวของหุ่นมีชีวิต แต่วันนี้ฉันจะพาคุณไปพิสูจน์ค่ะว่า มันเป็นแค่เรื่องเล่า เป็นตำนาน หรือเป็นเรื่องจริง (ขณะที่อ่านกรุณาทำเสียงให้ชวนวังเวง เพื่อความสมจริง)
ซื้อตั๋วเสร็จ (100 บาท : ผู้ใหญ่ 2 คน) ก็มายืนทำใจอยู่ด้านหน้า พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย (THAI HUMAN IMAGERY MUSUEM) สัก พัก เพื่อรวบรวมสมาธิ และก้าวแรกที่เปิดประตูเข้าไป ให้ความรู้สึกวังเวง และขลังมากๆ แสงไฟสลัวทั่วทั้งห้อง ยกเว้นเคาน์เตอร์เจ้าหน้าที่ ที่พอให้มองเห็นและแยกแยะได้ ว่าเป็นคนหรือหุ่น แหะ แหะ
ความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งนี้ เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจ ของนักสร้างสรรค์กลุ่มหนึ่ง นำโดย อ.ดวงแก้ว พิทยากรศิลป์ ซึ่งสนใจเรื่องหุ่นขี้ผึ้ง และศึกษาทดลองนานกว่า 10 ปี จึงสามารถสร้างหุ่นขี้ผึ้งยุคใหม่จากไฟเบอร์กลาส ซึ่งมีความคงทน ประณีต งดงาม และเหมือนคนจริงมากที่สุด อันนี้คอนเฟิร์มค่ะว่าเหมือนมาก มาก แม้แต่แววตาของหุ่นแต่ละตัวก็ทำได้เหมือนกับว่าหุ่นตัวนั้น มีความรู้สึก และกำลังแสดงมันออกมา ซึ่งเหมือนคนจริง ๆ
หุ่นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร , หุ่นหลวงปู่ชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี
ห้องถัดมานี่ ถ้าใครไม่รักกันจริงนี่อาจต้องเลิกคบกันไปเลยค่ะ เพราะเป็นหุ่นที่ปั้นได้เหมือนคนมากกก บวกกับแสงไฟที่มีอยู่น้อยนิด ทำให้บรรยากาศดูขลังและวังเวงมากๆ ห้องนี้จะจัดแสดงหุ่นชุด “เหนื่อยนักพักก่อน” หุ่นชายสองคนในท่านั่งเก้าอี้เอกเขนก นอนอ้าปาก เห็นฟันครบทั้ง 32 ซี่ ข้างๆ กันเป็นหุ่นผู้ชายตัวอ้วนกลมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ใกล้ๆ ตรงกันข้ามเป็นหุ่นชุดหมากรุกไทย หุ่นชายวัยกลางคนนั่งโขกหมากรุกกันอย่างเมามันส์
(บนจากซ้าย) หุ่นการเล่น หัวล้านชนกัน, หุ่นชุด เลิกทาส
(ล่างจากซ้าย) หุ่นครูจวงจันทน์ จันทร์คณา “บรมครูพรานบูรพ์”, หุ่นมหาตมะ คานธี บิดาแห่งประชาชาติอินเดีย, หุ่นชุดเหนื่อยนักพักก่อน
และห้องถัดมาก็ทำให้น้ำตาซึมเลยค่ะ เพราะเป็นหุ่น สมเด็จย่า และพระพี่นางเธอฯ ในลักษณะที่สมเด็จย่าทรงประทับบนพระเก้าอี้ และมีพระพี่นางเธอฯ นั่งประทับเบื้องล่าง เป็นภาพที่สมเด็จย่ากำลังตรัสกับพระพี่นางเธอฯ เป็นอีกหนึ่งความทรงจำของคนไทย แม้ทั้งสองพระองค์จะสิ้นพระชนม์แล้วก็ตาม
ขึ้นมาชั้น 2 จะเป็น หุ่นครูเพลงไทย, หุ่นชุดบุคคลสำคัญของโลก, หุ่นชุดการละเล่นของไทย, หุ่นชุดวรรณคดีไทย เรื่องพระอภัยมณี และหุ่นชุดทาสที่กระทำความผิดและถูกลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งไม่สามารถเรียกร้องสิทธิใดๆ ได้ทั้งสิ้น
เรื่องราวของหุ่นมีชีวิต เป็นเรื่องจริง หรือเป็นแค่บทละคร คงมีแต่คุณเท่านั้นที่จะตอบได้ ส่วนคำตอบของฉันมีอยู่ในใจแล้วค่ะ
หุ่นการละเล่นของไทย ชุด รีรี ข้าวสาร,จ้ำี้จี้ และขี่ช้างชนกัน
รายละเอียดเพิ่มเติม :
พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย (THAI HUMAN IMAGERY MUSUEM)
43/2 หมู่ที่ 1 ถ.พระบรมราชชนนี (ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี) กม. 31 ต.ขุนแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม 73120
เปิดเข้าชมทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 - 17.30 น.
วันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.30 – 18.00 น.
โทร. 034-332-607, 034-332-109
เวปไซต์ : www.rosenini.com
อัตราค่าเข้าชม :ผู้ใหญ่ 50 บาท
พระภิกษุ, แม่ชี, นักบวช และนักศึกษาในเครื่องแบบ 20 บาท
เด็ก(ความสูงไม่เกิน 130 ซม.), นักเรียนอนุบาล- ม.6 ในเครื่องแบบ และสามเณร 10 บาท
(ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี) กม.๓๑
ต.ขุนแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
๗๓๑๒๐
โทร. ๐-๓๔๓๓-๒๖๐๗,
๐-๓๔๓๓-๒๑๐๙,
๐-๓๔๓๓-๒๐๖๑
โทรสาร ๐-๓๔๓๓-๒๐๖๑
อ่านต่อ...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)