วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Plitvice Lakes National Park, โครเอเชีย

Plitvice ทะเลสาบ, โครเอเชีย
เครดิต : Jack Brauer
สถานที่ที่สวยงาม Plitvice Lakes National Park ตั้งอยู่ในภูมิภาค Lika ของโครเอเชีย สวนที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขา Plješevica, มาลา Kapela และ Medveđak ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ Dinaric วันที่ 16 สีเขียวใน Plitvice Lakes, ที่คั่นด้วยเขื่อนธรรมชาติของ travertine, ตั้งอยู่บนที่ราบสูงใน Plitvice น้ำตกเชื่อมต่อทะเลสาบและน้ำตกที่สูงที่สุดคือ Veliki ที่ 70 เมตร (230 ฟุต) พื้นที่ Plitvice Lakes ภูมิใจนำเสนอความหลากหลายของพืชพรรณที่น่าสนใจและมีสีสันและสัตว์ ผู้เข้าชมสามารถเพลิดเพลินกับการเดินป่าหลายเส้นทางและเส้นทางหรือการสำรวจทะเลสาบโดยเรือส่วนตัวเองมี 3 โรงแรมและตั้งแคมป์เป็นอย่างอื่นผู้เข้าชมสามารถหาที่พักที่ใด ๆ ของจำนวนหมู่บ้านและเมืองใกล้เคียง


Plitvice ทะเลสาบ, โครเอเชีย
Plitvice ทะเลสาบ, โครเอเชีย



 
เครดิต : แจ็ค Brauer

Plitvice ทะเลสาบ, โครเอเชีย
Plitvice ทะเลสาบ, โครเอเชีย
Plitvice ทะเลสาบ, โครเอเชีย
Plitvice ทะเลสาบ, โครเอเชีย
Plitvice ทะเลสาบ, โครเอเชีย
Plitvice ทะเลสาบ, โครเอเชีย

Plitvice ฟอลส์, โครเอเชีย

Plitvice ทะเลสาบ, โครเอเชีย
เครดิต : Jack Brauer อ่านต่อ...

วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

'คุณจะไม่มีวันโดดเดี่ยว...' เสน่ห์ 'โลโม่'


เป็นอีกหนึ่งสีสันของภาพเล่าเรื่องที่ไม่จำกัดรูปแบบกล้อง ในวันอาทิตย์สบายๆ เช่นเคย เรานำภาพที่ถ่ายได้จาก ‘กล้องโลโม่’ มาให้ดูกัน เป็นภาพเซ็ตที่ตั้งชื่อ ‘ฟัง’ แล้วหัวใจฟู ดูฮึกเหิมว่า ‘คุณจะไม่ (กระ)โดดเดียว…’

 




ขอบคุณภาพจาก Lomography Thailand – http://www.lomography.co.th/

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ไทยรัฐออนไลน์ไลฟ์สไตล์
อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

ตื่นตาธรรมชาติ...ท่องเที่ยวป่าหน้าฝน ชมดอกไม้งามบนอุทยานภูหินร่องกล้า



ในระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ ช่วงเวลาที่ร่องฝนพัดผ่าน นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งเลือกมาเที่ยวป่าหน้าฝน ยลดอกไม้ป่าบานเต็มลานหิน บนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อ.นครไทย จ.พิษณุโลก สัมผัสเมฆฝนที่พัดผ่าน เป็นบรรยากาศที่หลายคนคิดไม่ถึง เที่ยวป่าหน้าฝน ได้อีกความรู้สึกหนึ่งที่สวยงามไม่แพ้ฤดูกาลท่องเที่ยวในหน้าหนาว

นายไพรัช มณีงาม หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อ.นครไทย จ.พิษณุโลก กล่าวว่า นักท่องเที่ยวจำนวนมากยังคงนิยมขึ้นมาเที่ยวบนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าในช่วงฤดูหนาว ในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม เพื่อมาสัมผัสบรรยากาศอากาศหนาว ที่มีอุณหภูมิต่ำ ถึงขั้นเกิดแม่คะนิ้ง หรือน้ำค้างแข็ง แต่มีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่ง เลือกมาเที่ยวภูหินร่องกล้าในช่วงฤดูฝน ในช่วงเดือนสิงหาคมนั้น บรรยากาศป่าหน้าฝนบนภูหินร่องกล้านั้น มีความงด งามไม่แพ้เที่ยวในฤดูหนาว และเป็นอีกความรู้สึกหนึ่งที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ ความงามให้นักท่องเที่ยวได้ชมเที่ยวป่าหน้าฝนบนอุทยานแห่งชาติ ภูหินร่องกล้า ที่ระดับความสูง 1,300-1,400 เมตร เมฆฝนจะปกคลุมยอดเขาร่องกล้า ยามที่นักท่องเที่ยวเดินผ่าน เมฆและละอองฝนจะพัดผ่านตัวเป็นไอหมอกขาว สวยงามมาก โดยเฉพาะเส้นทางท่องเที่ยวชมลานหินปุ่ม ผาชูธง ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรนั้น นักท่องเที่ยวจะได้ชมแหล่งต้นน้ำ ที่ไหลรินผ่านลานหิน ดอกไม้ที่เบ่งบานในช่วงฤดูฝน บานสะพรั่งบนลานหินอีกหลากหลายชนิด อาทิ หงส์ทอง เปราะภู ตามเส้นทางเดินในป่าดิบชื้น สังเกตตามแนวทางเดินและลานหิน จะพบดอกไม้หลากหลายชนิดบานสะพรั่ง ที่อุทยานตั้งชื่อเส้นทางเดินป่าแห่งนี้ว่า “สวรรค์บนดิน” ในเส้นทางเดินเที่ยวสวรรค์บนดิน ประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาเดินเท้าประมาณ 1-1.5 ชั่วโมง ในช่วงฤดูฝนบางจังหวะจะเป็นละอองเมฆฝนวิ่งพัดผ่านตัวนักท่องเที่ยว แต่บางโอกาสเมฆฝนก็จะกลั่นตัวกลายเป็นฝน ดังนั้นนักท่องเที่ยวต้องเตรียมตัวมาให้พร้อมสำหรับการเดินทางด้วย เช่น ร่ม เสื้อกันฝน ถุงพลาสติกสำหรับกันกล้องถ่ายรูปเปียกน้ำ รองเท้าผ้าใบ เป็นต้น ส่วนการเดินทางขึ้นมาบนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าในช่วงนี้ เส้นทางขึ้นจากตีนภู บ้านห้วยน้ำไซ ต.เนินเพิ่ม กำลังมีการราดยางถนนใหม่ทั้งหมด อุทยานฯได้งบประมาณจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จำนวน 8 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเส้นทางขึ้นภูหินร่องกล้าและภู ทับเบิก

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า มีพื้นที่ครอบคลุมรอยต่อ 2 จังหวัด คือ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และอำเภอนครไทย
 จังหวัดพิษณุโลก ภูหินร่องกล้าเป็นแหล่งกำเนิดของประวัติศาสตร์การสู้รบอันยาวนานเป็นวีรกรรมของนักรบไทย ความขัดแย้งของลัทธิและแนวความคิดที่นำไปสู่ความสูญเสียเลือด ชีวิตและน้ำตา ภาพประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ตลอดจนสภาพสิ่งก่อสร้างในอดีตจะถูกบันทึกเก็บรักษาไว้ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาถึงผลของการใช้กำลังเข้าประหัตประหาร ทำให้เกิดความสูญเสียที่ประเมินค่ามิได้ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองความแตกแยก ความสามัคคีของคนในชาติ มีเนื้อที่ประมาณ 191,875 ไร่ หรือ 307 ตารางกิโลเมตร แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นอนุสรณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่น่าสนใจ ได้แก่ โรงเรียนการเมืองการทหาร อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติฯประมาณ 6 กิโลเมตร มีสภาพเป็นป่ารกทึบ หนาแน่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ในอดีตเคยเป็นสถานที่สำหรับให้การศึกษาตามแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์ สำนักอำนาจรัฐ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอุทยานแห่งชาติฯ ห่างจาก ที่ทำการอุทยานแห่งชาติฯประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นสถานที่ดำเนินการปกครอง มีการพิจารณาและลงโทษผู้กระทำผิดหรือละเมิดต่อกฎลัทธิมีคุกสำหรับขังผู้กระทำความผิด มีสถานที่ทอผ้าและโรงซ่อมเครื่องจักรกล

ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อยอดนิยม ได้แก่ ลานหินแตก อยู่ห่างจากฐานพัช  รินทร์ ประมาณ 300 เมตร ลักษณะเป็นหินที่มีรอยแตกเป็นแนวเป็นร่องเหมือนแผ่นดินแยก รอยแตกนี้บางรอยก็มีขนาดแคบพอให้รากต้นหญ้าชอนไชไปได้เท่านั้น บางรอยกว้างพอคนก้าวข้ามได้ และบางรอยกว้างมากจนไม่สามารถกระโดดข้ามได้ ความลึกของร่องหินแตกเหล่านั้นไม่สามารถจะคาดคะเนได้ ลักษณะเช่นนี้สันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากการโก่งตัวหรือเคลื่อนตัวของผิวโลกจึงทำให้พื้นหินนั้นแตกเป็นแนว นอกจากนี้บริเวณหินแตกยังปกคลุมไปด้วย มอส ไลเคนส์ ตะไคร่ เฟิน และกล้วยไม้ชนิดต่าง ๆ ลานหินปุ่ม อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติฯ ประมาณ 4 กิโลเมตร อยู่ริมหน้าผาลักษณะเป็นลานหินผุดขึ้นเป็นปุ่มไล่เลี่ยกัน คาดว่าเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหินทางเคมีและฟิสิกส์ 

ในอดีตบริเวณนี้ใช้เป็นที่พักฟื้นของคนไข้เนื่องจากอยู่บนหน้าผา มีลมพัดเย็นสบายเหมาะแก่การนั่งพักผ่อน ผาชูธง อยู่ห่างจากลานหินปุ่มประมาณ 600 เมตร เป็นหน้าผาสูงชันสามารถเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล โดยเฉพาะภาพทิวทัศน์ดวงอาทิตย์ตกดินจะสวยงามไม่แพ้จุดชมทิวทัศน์อื่น ๆ บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่ที่ ผกค.จะขึ้นไปชูธงแดง (ค้อนเคียว) แต่ปัจจุบันเป็นธงไตรรงค์ ทุกครั้งที่รบชนะทหารของรัฐบาลและยังมีน้ำตกเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงามสามารถเที่ยวชมได้ตลอดปี อาทิ น้ำตกหมันแดง น้ำตกศรีพัชรินทร์ น้ำตกผาลาดและน้ำตกตาดฟ้า.

ที่มา ธเนส อนุดิษฐ daily News
อ่านต่อ...

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

เที่ยววัดเก่าของลาว วัดสีสะเกด


รูปถ่ายเก่าวัดสีสะเกด


ก่อนเข้าวัดต้องผ่านทางนี้ก่อนครับ

วัดสีสะเกด (Wat Sisaket) หรือวัดสะตะสะหัสสาราม (วัดแสน)  เป็นวัดที่สร้างขึ้นแห่งแรกในนครเวียงจันทน์  วัดนี้สวยมากๆ ครับเข้าไปแล้วทำให้รู้สึกว่าตัวเองต้องเงียบโดยทันที คำว่าสตสหัสส  แปลว่า 100,000,  อาราม แปลว่า วัด,  วัดสตสหัสสาราม จึงแปลว่า วัดแสน  ในอดีตเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช (ลาว)   ศักดิ์ของวัดนี้เทียบเท่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์ฯ ท่าเตียน ของไทย)  เหตุที่ชื่อวัดแสนก็เพราะว่า  พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชและพุทธศาสนิกชนชาวลาวในอดีต  ทรงสร้างพระพุทธรูปทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้ทั่ววัด 100,000 องค์  ดังนั้นจึงมีชื่อเล่นว่าวัดแสน  แต่ปัจจุบันมีเหลืออยู่ประมาณ 10,000 กว่าองค์เท่านั้น  ไกด์บางคนบอกว่ามี 6,000 กว่าองค์  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม  วัดนี้ก็มียังมีพระพุทธรูปมากที่สุดในนครหลวงเวียงจันทน์


ทางเข้าวัดสีสะเกด

ป้ายเขียนว่า วัดสะตะสะหัสสาราม สีสะเกด

พระพุทธรูปเรียงรายสวยงาม


พระประธานในสิม
เดิมเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กทำด้วยทองสำริด แต่เจ้าอนุวงศ์ได้ปฏิสังขรณ์ก่อครอบ ด้วยประทานเพชรฟอกด้วยน้ำปิว และให้พระประธานองค์ใหญ่หันหน้าไปทางด้านเหนือ เพื่อความ สะดวกสบายในไปกราบไหว้สักการะบูชา

ราวเทียน ในสิมราวเทียนในสิม มีความสูงประมาณ 1.88 เมตร กว้าง 2.10 เมตร ซึ่งเป็นศิลปผสมระหว่างล้านช้างกับล้านนา ทำด้วยไม้เนื้อดีและแกะสลักเป็นรูปพญานาค สองตนเอาหางพันกัน เป็นรูปสวยงามซึ่งหมายถึง ความสามัคคี
ระหว่างล้านช้างและล้านนา ที่พิเศษคือฟอกด้วยน้ำทองคำปิว สร้างในสมัยเดียวกันกับ วัดสิสะเกด
ศตวรรษที่ 19


หอพระไตรปิฎก
สำหรับเก็บรักษาพระไตรปิฎก และตำราคัมภีร์ เอการทางพระพุทธศาสนา ถึงแม้วัดสีสะเกดจะไม่ถูกเผาทำลายเหมือนวัดอื่น ๆ แต่ก็ถูกปล้นสะดมจี้เอาพระไตรปิฎกไปจนหมดเกลี้ยง ปัจจุบันมีเพียงหอพระไตรที่แสดงไว้ให้แขกต่างด้าวท้าวต่างเมืองมาเที่ยวชม ส่วนของหลังคาหอพระไตรปิฎกจะมีความคล้ายคลึงศิลปะของพม่าเพราะในสมัยนั้น อาจได้รับอิทธิพลจากพม่า นอกจากนี้ยังมีแผ่นศิลาจารึก ซึ่งกล่าวถึงเรื่องราวประวัติของวัดสีสะเกดอีกด้วย
ในสมัยก่อนวัดสิสะเกดมีอาณาเขตกว้างขวางมากมีกำแพงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ต่อมาในปี ค.ศ.1963 ได้ตัดเส้นทางใหม่ คือถนนเชษฐาธิราช ส่วนประตูโขงด้านหน้าติดกับหอคำ หรือสำนักงานประธานประเทศในปัจจุบัน



        ใน พ.ศ. 2321  เจ้าพระยาจักรี (ร.๑)  ได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีให้ยกทัพไปทวงถามเครื่องบรรณาการจากลาว  ลาวไม่ให้จึงสู้รบกัน  ลาวรบแพ้เพราะไม่เจนศึกเท่าทหารสยาม  ในฐานะที่เจ้าพระยาจักรีเป็นนักรบผู้ทรงธรรมและเคยบวชเรียนหลายพรรษา  เมื่อชนะศึกแล้วจึงนำพาทหารสยามบูรณะซ่อมแซมวัดนี้ก่อนเดินทางกลับประเทศใน พ.ศ.2322  เพื่อเป็นพุทธบูชาอุทิศส่วนกุศลให้ทหารทั้ง 2 ประเทศที่เสียชีวิต  เนื่องจากรบกันโดยไม่มีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน  สถาปัตยกรรมวัดนี้เกือบทั้งหมดจึงเป็นสถาปัตยกรรมไทย  


      เมื่อเจ้าอนุวงศ์ขึ้นครองราชเป็นกษัตริย์ลาวเมื่อ พ.ศ. 2348  ก่อนหน้านั้นพระองค์เคยเสด็จมาช่วยไทยรบกับพม่า 2 ครั้ง  ก็ได้โปรดให้บูรณะและสร้างวัดนี้ต่อด้วยสถาปัตยกรรมไทย  วัดนี้จึงเป็นวัดที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของทหารและชาวพุทธสองประเทศมาแต่โบราณ  เพราะเป็นวัดที่ทหารของทั้งสองประเทศช่วยกันบูรณะ  


     
พ.ศ. 2369 เกิดกรณีพิพาทสยาม – ลาว (ไทยเรียกเหตุการณ์นี้ว่ากบถเจ้าอนุวงศ์)  ศึกครั้งนั้นไทยแทนแค้นลาวมาก  จึงทำลายเมืองเวียงจันทน์โดยการเผาเกือบหมด  ยกเว้นวัดนี้กับหอพระแก้ว  เพราะเป็นวัดที่ตนพักทัพ ตามธรรมเนียมแต่โบราณ  พวกทหารพุทธเมื่อตั้งทัพที่ไหนจะไม่ทำลายที่นั่น 

     พ.ศ. 2370 ก่อนกองทัพสยามเดินทางกลับประเทศ  ได้ทำการบูรณะซ่อมแซมและฌาปนกิจศพทหารที่เสียชีวิตที่วัดแห่งนี้           


     จากเหตุการณ์เผาเวียงจันทน์นี่แหละ  ชาวลาวรุ่นใหม่ที่เรียนมาถึงประวัติศาสตร์ตอนนี้จึงแค้นไทยไม่หาย  เมื่อไทยพูดว่า “บ้านพี่ – เมืองน้อง” ลาวรุ่นใหม่จึงไม่ยอมรับไทยเป็นญาติ  เขามักจะถามกลับว่า     “ใครเป็นพี่ – ใครเป็นน้อง”       ไทยบางคน  เกลียดพม่าไม่หายในเหตุการณ์เสียกรุงครั้งที่สอง อย่างไร     
ลาวบางคน  ก็แค้นไทยไม่เลิกในเหตุการณ์เผาเวียงจันทน์ อย่างนั้น

ทางเดินข้างอุโบสถ

     ปัจจุบันวัดแห่งนี้มีส่วนที่เป็นพื้นดินสำหรับภิกษุจำพรรษานิดหน่อย  ที่ดินส่วนใหญ่ถูกตัดแบ่งไปเป็นส่วนราชการหมด  แม้แต่ส่วนที่เป็นพระอุโบสถวัดสีสะเกด กระทรวงวัฒนธรรมก็มาดูแล  หอพระแก้วที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของวัด ทางการก็มาดูแลแทนวัดเช่นกัน มีถนนไชยเชษฐาตัดผ่าน ทำให้หอพระแก้วและวัดต้องอยู่แยกกันโดยปริยาย

     
วิญญาณทหารสยามที่สถิตอยู่ในวัดนี้จึงอาภัพเพราะไม่มีใครไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้  ชาวลาวก็ไม่ทำบุญกรวดน้ำให้  เพราะยังไม่หายแค้น  ทำบุญจากประเทศไทยไปให้ก็ไม่ค่อยจะถึง  เพราะอยู่ไกลและวิบากกรรมก็ยังไม่สิ้น  (ซวยสองต่อ)  หากอยากทำบุญให้  ต้องไปทำที่เวียงจันทน์เท่านั้น 

เก็บมาฝากครับ

สถานที่ท่องเที่ยว แขวงเวียงจันทน์ 
- แขวงเวียงจัน
- พระธาตุหลวง
- วัดสีเมือง เสาหลักเมืองเวียงจัน
- วัดสีสะเกด
- หอพระแก้ว หรือวัดพระแก้วลาว
- อนุสาวรีย์เจ้าฟ้างุม
- ประตูชัย
- พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลาว
- หอวัฒนธรรมแห่งชาติลาว
- ถนนคนเดินเวียงจัน
- ตลาดเช้า
- ดิวตี้ฟรี (Duty free) สินค้าปลอดภาษี บริเวณด่านลาวไทย
- บ้านผาฮอม
- ถ้ำจัง
- เมืองวังเวียง
- ผาตั้ง
 
อ่านต่อ...

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปั่นจักรยานชมวัดพระธาตุหลวง เวียงจัน สปป.ลาว


เที่ยวแบบแบกเป้ สะพายกล้องเที่ยว ทริปนี้เราเช่าจักรยานในราคาวันละ 80 บาทเพื่อปั่นชมสถานที่ท่องเที่ยวในเวียงจันและที่พลาดไม่ได้เลยคือการได้สักการะพระธาตุหลวงสักครั้ง การเข้าชมนั้นจะเสียค่าเข้าคนละ 3000 กีบ หรือประมาณ 15 บาท เปิดให้เข้าชม 8.00-17.00 น. (พักเที่ยงถึงบ่ายโมงครับ)

พระธาตุหลวง เวียงจันทร์

พระธาตุหลวง เวียงจันทร์

พระธาตุหลวง เวียงจันทร์

พระธาตุหลวงหรือ พระเจดีย์โลกะจุฬามณี นับเป็นปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งแห่งนครหลวงเวียงจันทน์ และเป็นศูนย์รวมใจของประชาชนชาวลาวทั่วประเทศ ตามตำนานกล่าวว่าพระธาตุหลวงมีประวัติการก่อสร้างนับพันปีเช่นเดียวกันพระธาตุพนมในประเทศไทย และปรากฏความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงอย่างแยกไม่ออก สถานที่นี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างของประเทศลาว ดังปรากฏว่าตราแผ่นดินของลาวที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีรูปพระธาตุหลวงเป็นภาพประธานในดวงตรา


พระธาตุหลวง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประตูชัย พระธาตุหลวงแห่งนี้ถือเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของประเทศลาว เป็นสัญญาลักษณ์ประจำชาติและยังแทนความเป็นเอกราชและอำนาจอธิปไตยของประเทศลาวอีกด้วย พระธาตุนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 พระธาตุองค์นี้มีรูปทรงที่ไม่เหมือนกับองค์อื่นๆ เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมในพระพุทธศาสนากับสถาปัตยกรรมของอาณาจักร

พระธาตุหลวง เวียงจันทร์

ตามตำนานเล่าว่า พระธาตุองค์นี้ได้สร้างในสมัยพุทธศักราชที่ 236 โดยมีพระภิกษุลาวจำนวน 5 รูปเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย และได้อันเชิญพระอุรังคธาตุ (พระธาตุหัวอกพระพุทธเจ้า) ของพระพุทธเจ้ามายังนครเวียงจันทน์ด้วย ต่อมาด้ำกราบทูลพระยาจันทบุรีประสิทธิ์ศักดิ์ เจ้านครเวียงจันทน์ในสมัยนั้น ให้สร้างพระธาตุหลวงขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุเพื่อให้ชาวลาวได้กราบไหว้ กล่าวไว้ว่า พระธาตุองค์เดิมนั้นสร้างด้วยหินเป็นทรงโอคว่ำ มีการก่อกำแพงล้อมรอบเอาไว้ทั้ง 4 ด้าน แต่ละด้านมีความกว้าง 10 เมตร หนา 4 เมตร และสูง 9 เมตร เชื่อกันว่าพระธาตุที่เห็นในปัจจุบันสร้างครอบองค์เดิม ซึ่งต่อมาสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองหลวงของราชอาณาจักรล้านช้างจากหลวงพระบางมาอยู่ที่เวียงจันทน์ ตามดำริของพระราชบิดา คือพระเจ้าโพธิสาร จากนั้นทรงมีพระบัญชา ให้ทรงสร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ครอบพระธาตุองค์เดิมไว้ ณ บริเวณที่เคยเป็นเทวสถานเก่าของขอมโดยเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ.2109 และหลังจากสร้างพระธาตุหลวงได้โปรดฯ ให้สร้างวัดขึ้นล้อมรอบพระธาตุไว้ทั้งสี่ทิศด้วย แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงสองแห่งด้วยกันคือ วัดพระธาตุหลวงเหนือและวัดพระธาตุหลวงใต้


พระธาตุหลวง เวียงจันทร์

วัดบริเวณพระธาตุหลวง เวียงจันทร์

ในปัจจุบัน พระธาตุหลวงมีลักษณะคล้ายป้อมปราการ เพราะมีการสร้างระเบียงสูงใหญ่ขึ้นโอบล้อมรอบองค์พระธาตุไว้ พร้อมกับทำช่องหน้าต่างเล็กๆเอาไว้โดยตลอด สำหรับประตูทางเข้านั้นเป็นประตูไม้บานใหญ่ ลงรักสีแดงไว้ทั้งหมด นอกจากนี้รอบๆองค์พระธาตุใหญ่ยังมีเจดีย์บริวารล้อมรอบอยู่โดยรอบอีกหลายองค์ เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็จะเห็นสัญลักษณ์หนึ่งแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนาแห่งนี้ปรากฏอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นรูปแกะสลักพญานาค พระพุทธรูปปิดทองลายกลีบบัวประดับอยู่บนฐานปักษ์ และถัดจากประตูทางเข้าใหญ่ประมาณ 100 เมตรจะแลเห็นพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ตั้งอยู่บนฐานสูง พระหัตถ์ทรงถือพระแสงดาบวางพาดไว้บนพระเพลา เล่ากันว่า พระแสงดาบเล่มนี้ทำหน้าที่ปกป้องพระธาตุหลวงซึ่งได้ถือว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวลาวทุกคน

ร้านค้าบริเวณทางเข้า พระธาตุหลวง เวียงจันทร์

นอกจากนี้บริเวณทางเข้าพระธาตุหลวงนั้นมีร้านขายของที่ระลึกมากมายหลายร้าน ต่อรองราคากันอย่างสนุก ทั้งของใช้ ของกิน ขนมขบเคี้ยว ของกินเล่น นักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะแวะก่อนกลับเสมอ


แผนที่พระธาตุหลวง เวียงจันทร์

สถานที่ท่องเที่ยว แขวงเวียงจันทน์ - แขวงเวียงจัน
- พระธาตุหลวง
- วัดสีเมือง เสาหลักเมืองเวียงจัน
- วัดสีสะเกด
- หอพระแก้ว หรือวัดพระแก้วลาว
- อนุสาวรีย์เจ้าฟ้างุม
- ประตูชัย
- พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลาว
- หอวัฒนธรรมแห่งชาติลาว
- ถนนคนเดินเวียงจัน
- ตลาดเช้า
- ดิวตี้ฟรี (Duty free) สินค้าปลอดภาษี บริเวณด่านลาวไทย
- บ้านผาฮอม
- ถ้ำจัง
- เมืองวังเวียง
- ผาตั้ง
อ่านต่อ...

ร้านเฝอแซบ นครหลวงเวียงจัน


ก่อนมาร้านเฝอแซ่บ ต้องเดินข้ามถนนมาก่อนครับดูรถเยอะมาก

ทริปนี้พาชิมร้านเฝอแซบ  นครหลวงเวียงจัน สปป.ลาว ถนนสายลม แถวๆโรงแรมจะเลินไซ (เจริญชัย) ในเวียงจันมีสองสาขาครับ ที่นำมาลงนี่สาขาแรกครับ หน้าตาของเฝอลาวก็คล้ายๆ กับก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา มีผักสดมาให้เต็มๆ จาน และมีถั่วลิสงบดหวานๆ กับกะปิ ไว้จิ้มกับผักสด และที่น่าสังเกตคือการกินอาหารของคนลาวที่นี่จะมี “ซอสพริก” ไว้ที่โต๊ะเสมอ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารตามสั่งทั่วไป หรือร้านเฝอแซ่บ1 นี้ก็เช่นกัน ราคาของเฝอก็ถ้วยน้อยอยู่ที่ 13000 กีบ ถ้วยกลางราคา 15000 กีบ  ส่วนถ้วยจัมโบ้ราคา 18000 กีบ ขอแนะนำว่าถ้าไม่หิวจริงควรสั่งถ้วยน้อยครับ เพราะว่าถ้วยน้อยบ้านเค้ายังใหญ่กว่าก๋วยเตี๋ยวพิเศษบ้านเราเสียอีกครับ

ป้ายในร้านเก็บมาฝากเล่นๆ ครับ

เฝอถ้วยน้อยครับ

ชัดๆ กับเฝอเต็มเครื่อง

อัตราแลกเปลี่ยนเงินลาวอยู่ที่ 1:260 คือเงินไทย 1 บาท แลกเงินกีบได้ 260 กีบ ขอแนะนำว่าเราควรแลกเงินกีบใช้เมื่อเดินทางไปเที่ยวลาว เพื่อส่งเสริม และเป็นการเคารพในวัฒนธรรม เพราะเวลานี้รัฐบาลลาวกำลังรณรงค์ และส่งเสริมให้คนลาวหันมาใช้เงินกีบแทนเงินบาท และสกุลเงินดอลลาร์ จะเห็นมีป้ายเชิญชวนตามถนนในนครหลวงเวียงจันทน์อยู่เป็นระยะ



ผักสดๆ น่ากินครับ

ถั่วลิสงบดหวานจิ้มกับผักสดๆ

รับรองความอร่อย
สถานที่ท่องเที่ยว แขวงเวียงจันทน์ 
- แขวงเวียงจัน
- พระธาตุหลวง
- วัดสีเมือง เสาหลักเมืองเวียงจัน
- วัดสีสะเกด
- หอพระแก้ว หรือวัดพระแก้วลาว
- อนุสาวรีย์เจ้าฟ้างุม
- ประตูชัย
- พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลาว
- หอวัฒนธรรมแห่งชาติลาว
- ถนนคนเดินเวียงจัน
- ตลาดเช้า
- ดิวตี้ฟรี (Duty free) สินค้าปลอดภาษี บริเวณด่านลาวไทย
- บ้านผาฮอม
- ถ้ำจัง
- เมืองวังเวียง
- ผาตั้ง
อ่านต่อ...

ชมอนุสาวรีย์ พระเจ้าอนุวงศ์


ชมอนุสาวรีย์ พระเจ้าอนุวงศ์ (เจ้ามหาชีวิตองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์) เดินทางมาถึงเมืองเวียงจันทร์แล้ว ตอนเย็นๆ แนะนำให้มาผักผ่อนหย่อนใจกันที่สวนสาธารณะ ริมแม่น้ำโขง มีสนามหญ้าเขียวๆ ชาวลาวจำนวนไม่น้อยต่างพากันมาเดินเล่น  มาวิ่งออกกำลังกาย รวมทั่งเครื่องออกกำลังกายหลายชนิดที่วางเรียงรายให้ได้เล่นกันมากมาย นอกจากนั้นแล้วยังมีของอร่อยๆ ที่แม่ค้าลาวเข็นของมาขายกันเพียบ

ริมโขงเวียงจันทร์

ถ่ายภาพที่ระลึก

นักท่องเที่ยวมากมายบริเวณริมโขง

 อนุสาวรีย์พระเจ้าอนุวงศ์

สิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อมาถึงริมแม่น้ำโขงนี้แล้วนอกจากที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น เพื่อนๆ จะได้เห็นอนุสาวรีย์พระเจ้าอนุวงศ์ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมน้ำโขง นักท่องเที่ยวมากมายมากราบไว้ถ่ายรูปเพื่อเป็นศิริมงคล

ภาพถ่ายจริงพระเจ้าอนุวงศ์

อนุสาวรีย์ พระเจ้าอนุวงศ์ มีความสูง 17 เมตร (รวมฐานและแท่นยืนด้วย) ซึ่งถือว่าเป็นอนุสาวรีย์ของอดีตเจ้ามหาชีวิตลาวที่สูงที่สุดและใช้ทองแดงเฉพาะการหล่อรูปปั้นของเจ้าอนุวงศ์คิดเป็นน้ำหนักรวมถึง 8 ตัน เพื่อให้ประดิษฐานที่สวนสาธารณะริมฝั่งโขงที่อยู่ตรงข้ามกับฝั่งอำเภอศรีเชียงใหม่ในเขตจังหวัดหนองคายของไทยพอดี

ทางการลาวภายใต้การนำพาของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวนั้นได้ให้ความสำคัญกับเจ้ามหาชีวิตพระองค์นี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า เจ้าฟ้างุ้ม เจ้ามหาชีวิตผู้สถาปนาอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางขึ้นในปี พ.ศ. 1900 และ เจ้าไชยเชษฐาธิราช เจ้ามหาชีวิตผู้สถาปนาเวียงจันทน์เป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างแทนหลวงพระบางในปี พ.ศ. 2103 แต่อย่างใดเลย

ทั้งนี้โดยถึงแม้ว่าพรรคประชาชนปฏิวัติลาว จะได้ล้มล้างสถาบันกษัตริย์และระบบศักดินาในลาวนับตั้งแต่ปี 1975 เป็นต้นมาแล้วก็ตามแต่ก็หาได้เป็นปัญหาอย่างใดไม่ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าวีรกรรมของเจ้าอนุวงศ์ ที่พรรคฯลาวได้เชิดชูขึ้นมาเป็นธงนำในการก่อสร้างอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ในครั้งนี้ ก็คือการเป็นเจ้ามหาชีวิตที่ได้กระทำในทุกวิถีทางเพื่อประกาศอิสรภาพและความเป็นเอกราชของชาติลาว ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับการต่อสู้และการนำพาของพรรคฯลาวนั่นเอง

อนุสาวรีย์พระเจ้าอนุวงศ์

กล่าวสำหรับอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ภายหลังจากที่ได้ประกาศเอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2146 ในรัชสมัยของพระวรวงศาธรรมิกราช ซึ่งก็ทำให้อาณาจักรล้านช้างไม่มีศึกสงครามและการรุกรานจากภายนอกนับเป็นเวลากว่า 100 ปีจนกระทั่งตกมาถึงปี พ.ศ.2250 และปี พ.ศ.2256 อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางและจำปาสักก็ได้ประกาศแยกตัวออกจากราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ตามลำดับ โดยมีสาเหตุมาจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้องในราชวงศ์

ซึ่งด้วยความแตกแยกภายในดังกล่าวก็ได้ทำให้อาณาจักรล้านช้างทั้งสาม ต้องตกไปเป็นประเทศราชของสยามอย่างสมบูรณ์ ในปี พ.ศ.2322 อันเป็นที่มาของการกวาดต้อนคนลาวครั้งใหญ่ เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยพระเจ้านันทเสน (พ.ศ.2324-2337) นั้น นับเป็นช่วงที่คนลาวถูกสยามกวาดต้อนไปเป็นแรงงานขุดคลองในบางกอกมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาณาจักรล้านช้างจะตกเป็นประเทศราชของสยาม แต่ว่าในส่วนของนครเวียง จันทน์นั้นก็ได้รับการทำนุบำรุงในทุกๆด้านอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 หรือ เจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. 2346-2370) นั้น พระองค์ได้ทรงพยายามทำนุบำรุงนครเวียงจันทน์อย่างต่อเนื่อง เช่น โปรดให้สร้างพระราชวังหอโรง วัดศรีบุญเรืองที่หนองคาย หอพระแก้ววัดช้างเผือกที่ศรีเชียงใหม่ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากวัดช้างเผือกมาที่นครเวียงจันทน์ และ วัดสตหัสสาราม (วัดแสนหรือวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังสันนิษฐานกันว่ามีวรรณกรรมสองเรื่องที่เกิดขึ้นในรัชสมัยเจ้าอนุวงศ์ก็คือสาส์นลึบบ่สูญ และวรรณกรรมร้อยแก้วเรื่องพระลักษณ์-พระราม

ครั้นเมื่อตกมาถึงปี พ.ศ.2370 พระเจ้าอนุวงศ์ ก็ทรงได้ประกาศกู้เอกราชจากสยาม ซึ่งก็ทำให้พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงเห็นว่าเจ้าอนุวงศ์นั้นเป็นกบฎ จึงให้ยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ และก็ให้ควบคุมตัว เจ้าอนุวงศ์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์มาที่กรุงสยามในปี พ.ศ.2371 โดยเจ้าอนุวงศ์นั้นก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกันอันถือเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์อีกด้วย

ร้านขายของบริเวณอนุสาวรีย์พระเจ้าอนุวงศ์

  สถานที่ท่องเที่ยว แขวงเวียงจันทน์ - แขวงเวียงจัน
- พระธาตุหลวง
- วัดสีเมือง เสาหลักเมืองเวียงจัน
- วัดสีสะเกด
- หอพระแก้ว หรือวัดพระแก้วลาว
- อนุสาวรีย์เจ้าฟ้างุม
- ประตูชัย
- พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลาว
- หอวัฒนธรรมแห่งชาติลาว
- ถนนคนเดินเวียงจัน
- ตลาดเช้า
- ดิวตี้ฟรี (Duty free) สินค้าปลอดภาษี บริเวณด่านลาวไทย
- บ้านผาฮอม
- ถ้ำจัง
- เมืองวังเวียง
- ผาตั้ง


บริเวณรอบๆ อนุสาวรีย์พระเจ้าอนุวงศ์



อ่านต่อ...